ภาพที่หลายๆคนนึกถึงเมื่อได้ยินเสียงนี้ ก็คงเป็นเพียงภาพของรถไฟขบวนยาวๆ ที่บรรทุกผู้โดยสารและกำลังแล่นผ่านไปเพื่อจอดส่งที่ชานชาลา ซึ่งอาจเป็นเพียงภาพธรรมดาๆภาพหนึ่ง แต่ถ้าหากคุณได้ไป “เมืองแม่กลอง” เมื่อคุณได้ยินเสียงปู้นๆฉึกฉักๆ จะทำให้คุณรู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดา !!! เพราะภาพที่คุณได้เห็นจะเป็นภาพแห่งความอเมซิ่งไทยแลนด์ ของ“ตลาดร่มหุบ ” หรือ “ตลาดทางรถไฟ” ตลาดร่มหุบ….เมืองแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม “ตลาดร่มหุบ” หรือที่ชาวเมืองแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงครามรู้จักกันอย่างดีและเรียกกันติดปากว่า “ตลาดทางรถไฟ” ซึ่งความมหัศจรรย์ของตลาดแห่งนี้ คือ การผสมผสานกันเป็นอย่างดีของการเป็นตลาดและการสัญจรทางรถไฟเข้าด้วยกัน โดยตลาดนี้เป็นตลาดสดที่ตั้งอยู่บนรางรถไฟใกล้ๆชานชาลาสถานีแม่กลองและรางรถไฟนี้ก็ยังถูกใช้งานอยู่ทุกๆวันโดยเป็นทางเดินรถไฟสายแม่กลอง-บ้านแหลมดังนั้นหากจะมาซื้อของจากตลาดแห่งนี้ลูกค้าก็ต้องเดินในรางรถไฟเพื่อที่จะเลือกซื้อของ ซึ่งในทุกครั้งที่มีเสียงของระฆังเตือนว่ากำลังจะมีรถไฟแล่นเข้าหรือออกสถานี ภาพที่จะได้เห็น คือภาพของพ่อค้าแม่ค้ากำลังจัดระเบียบแผง กระจาด กระบุง ตะกร้าของสินค้าที่นำมาขายอย่างรวดเร็วภายในพริบตาเดียว และเมื่อรถไฟได้ผ่านไปแล้วทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นตลาดเหมือนเดิม “ตลาดร่มหุบ” เป็นตลาดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีเพียงแห่งเดียวในโลก หากคุณได้ลองไปสัมผัสเสน่ห์ของตลาดแห่งนี้แล้ว จะทำให้คุณรู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาและ ความแตกต่างอย่างน่าประทับใจของที่นี่….และคุณก็ต้องอยากที่จะกลับมาอีกครั้ง สำหรับที่นี่แม้ว่าจะมีข่าวถึงความอันตรายถึงกับตักเตือนกันมาสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเป็นระยะๆแต่ก็ไม่อาจเห็นกันสักคราว่าจะเป็นอันตรายและชาวจังหวัดสมุทรสงครามก็ได้ยืนยันมาอย่างยิ่งว่าปลอดภัยขอเพียงแต่ปฏิบัติตามกฎและอย่าทำพิเรนก็พอ และชาวสมุทรสงครามก็ยังฝากมาบอกอีกว่าไม่ต้องห่วงเรื่องพ่อค้าแม่ขายเพราะพวกเขาอยู่กันจนชินและรู้อย่างดีถึงวิธีการที่จะไม่ทำให้เกิดอันตราย แต่หากนักท่องเที่ยวยังไม่เชื่อทางการรถไฟก็ได้ยืนยันมาว่ารถไฟขบวนนี้ที่แล่นมาจากบ้านแหลมเพื่อเข้าสู่ชานชาลาแม่กลองนั้นแล่นมาอย่างช้าๆ ฉะนั้นรับรองได้ว่าไม่เกิดอันตรายให้ๆขึ้นได้อย่างง่ายดาย สักครั้งต้องลองไปสัมผัสถึงความมหัศจรรย์ของตลาดร่มหุบด้วยตนเอง ไม่อยากบอกเลยว่าผู้เขียนก็เกิดและเติบโตที่นี่ ซึ่งก็ได้เห็นความมหัศจรรย์ของตลาดร่มหุบนี่มาตั้งเด็ก และก็อดดีใจไม่ได้ที่มีนักท่องเที่ยวมาที่นี่และชื่นชอบ
วัดบางกุ้งตั้งอยู่ที่ตำบลบางกุ้ง อำเภอบางคนที อยู่ในเขตพื้นที่เดียวกับค่ายบางกุ้งแต่อยู่คนละฝั่งกัน มีถนนตัดผ่านกลาง วัดบางกุ้งนี้มีความมหัศจรรย์อยู่ที่โบสถ์ของวัดจะถูกปกคลุมด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ ทำให้วัดบางกุ้งแห่งนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน Unseen Thailand โดยภายในวัดมีโบสถ์เก่าประดิษฐานหลวงพ่อพุทธมณีนิลพระประธานเป็นพระพุทธรูปปั้นขนาดใหญ่ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อดำ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ สมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นที่เคารพบูชาของคนในท้องถิ่น รวมไปถึงชาวไทยที่มาของภาพ และข้อมูลจากทั่วทุกสารทิศซึ่งมาสักการะและชมความมหัศจรรย์ของโบสถ์ที่ดำรงอยู่ด้วยการค้ำยันแห่งรากไม้ นอกจากนั้นยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยปลายกรุงศรีอยุธยาแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ เป็นภาพพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมและภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ในซุ้มขนาบข้างด้วยอัครสาวกนั่งพนมมือ ระอุโบสถหลังเก่าวัดบางกุ้งลักษณะเป็นอาคารทรงไทยก่ออิฐถือปูน หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้องดินเผา ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หน้าบันประดับปูนปั้นลวดลายพันธุ์พฤกษา ตกแต่งด้วยเครื่องถ้วยทั้ง 2 ด้าน ผนังสกัดด้านหน้ามีประตูทางเข้าตรงกลาง 1 ประตู ผนังด้านหลังทึบ ผนังด้านข้างมีซุ้มหน้าต่างด้านละ 4 ช่อง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปหินทรายแดงขนาดใหญ่ ประทับนั่งขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ศิลปะอยุธยาตอนปลาย ใบเสมาหินทรายแดง ส่วนบนโค้งและเรียวลงตรงบริเวณส่วนเอว ยอดเสมาเป็นยอดแหลม ด้านหน้าใบเสมาส่วนบนมีลายประจำยามมีเส้นขอบและสันตรงกลางส่วนล่างมีลายดอกไม้รูปสามเหลี่ยม ตัวเหงาเสมาเป็นรูปกระหนก ศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลาย วัดบางกุ้งเป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา เคยเป็นที่ตั้งค่ายรบโบราณที่มีความสำคัญ ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่าในสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ทรงให้กองทัพเรือมาตั้งค่ายกำแพงล้อมที่วัดบางกุ้งแห่งนี้ เพื่อรบกับทัพข้าศึก เรียกว่า “ค่ายบางกุ้ง” จนภายหลังจากที่กรุงศรีอยุธยาได้แตกลงแล้ว
“อัมพวา” เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของ จังหวัดสมุทรสงคราม บรรยากาศของที่นี่จะร่มรื่นไปด้วยสวนผสมริมน้ำ ทั้งลิ้นจี่ มะม่วง มะพร้าว มะละกอ กล้วย ส้มโอ ฯลฯ สารพัดผลไม้รอให้เรามาชื่นชม โดยเราสามารถหลบร้อนไปลงเรือล่องคลองชมสวน สัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้าน ชิมผลไม้ต่างๆ หรือซื้อกลับไปกินบ้านให้ชื่นฉ่ำใจก็ได้ไม่มีใครว่า หรือจะเลือกปั่นจักรยานเช่าถีบไปคู่ขนานกับท้องร่อง ก็ได้อรรถรสอีกแบบหนึ่ง นอกจากการเที่ยวชมวิถีธรรมชาติแล้ว การท่องเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ อย่างเช่นการไหว้พระ ทำบุญ ที่ “วัดแว่นจันทร์” ซึ่งมีโบสถ์ไม้สักอายุกว่าร้อยปี ซึ่งเพิ่งผ่านการบูรณะมา แลดูสดใหม่ แต่ว่ากันว่า รูปลักษณ์ยังคงสถาปัตย์เก่าแก่สมัยต้นรัตนโกสินทร์โน่นทีเดียว ต่อกันที่ “วัดภุมรินทร์กุฎีทอง” มีกุฎีเป็นเรือนไม้สักทองขนาดใหญ่ เขียนลายรดน้ำปิดทองทั้งหลัง โดยพระมเหสีในรัชกาลที่ 1 เป็นผู้สร้างถวายเจ้าอาวาสในสมัยนั้น ตัวกุฎีแต่เดิมมีถึง 3 หลังแต่ถูกน้ำเซาะหายไปเหลือเพียงหลังเดียว ปัจจุบันภายในจัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงเครื่องใช้โบราณที่ชาวบ้านเอามาถวายวัดนั่นเอง และไม่ควรพลาดชมอันซีนที่ “วัดบางกุ้ง” ตั้งอยู่บนถนนราชบุรี – วัดโบสถ์ อำเภอบางคนที ซึ่งเป็นบริเวณค่ายบางกุ้ง เดิมเคยเป็นค่ายทหารเรือ สมัยพระเจ้าเอกทัศน์แห่งกรุงศรีอยุธยา